
ตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จัก “TikTok” ด้วยแพลตฟอร์มที่มีจุดเด่นต่างจาก Social Media อื่น ๆ ที่เจาะจงกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z และรูปแบบคอนเทนต์ที่โดนใจและสร้างสรรค์อย่าง “คลิปวิดีโอสั้น”
ด้วยระยะเวลาในการนำเสนอที่จำกัด ทำให้การสร้างแบรนด์ผ่านคอนเทนต์รูปแบบนี้เป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้น ทำยังไงให้ไม่กี่วินาทีเอาอยู่และได้เรื่อง ดังนั้น การครีเอทให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ สนุก และน่าสนใจ จึงเป็นอะไรที่ท้าทายในแพลตฟอร์ม “TikTok”
โดยรูปแบบการสร้าง Engagement ที่ได้รับความนิยมในการสร้างแบรนด์คือ “Challenge Campaign” หรือเรียกว่า “Challenge Marketing” ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ไปแล้ว

มาเริ่มทำ Ads บน TikTok กันเถอะ
กรอกข้อมูลใน Account Setup
สร้าง Ad Campaign กำหนดเป้าหมาย (Objective), ระยะเวลาที่จะลง Ads และ ระบุ Target Audience
สร้าง Content ของ Ads ที่จะนำไปลงใน TikTok
Monitor เพื่อประมวลผลของโฆษณา
ค่าโฆษณาของ Ads บน Tiktok
In-Feed Video – ค่าโฆษณาต่อวันอยู่ที่ 8 แสน ถึง 1 ล้านบาท
Brand Takeover – ค่าโฆษณา ต่อวันเฉลี่ยอยู๋ที่ 1.65 ล้านบาท
Customer Influencer Package – ค่าโฆษณาจะถูกคิดเป็นต่อโพสต์ โพสต์ละ ประมาณ 20,000 – 30,000 บาท
Hashtag Challenge – ค่าโฆษณาจะเฉลี่ยอยู๋ที่ 4.94 ล้านบาทต่อ 6 วัน
Brand AR Content – ค่าโฆษณา จะอยู่ที่ราว ๆ 2.6 ไปจนถึง 4 ล้านบาทต่อ เอฟเฟค
คอนเทนต์ Tiktok ยอดนิยมปี 2019 ที่ผ่านมา
แรนดอม ชูท
ลิปซิงค์
Vlog
เซลฟี
ดูเอท

ทำไมแอปฯ “TikTok” จึงประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
เป็นแอปพลิเคชันเพื่อความบันเทิง ในรูปแบบคลิปวิดีโอสั้น ที่เข้าถึงและเข้าใจง่าย ทำให้มีผู้ใช้งานมากขึ้น และกลายเป็นแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์
สร้าง “Content Creator” ให้ผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เพราะครีเอทคลิปวิดีโอเอง (User Generated Content : UGC) ด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลาย ทำให้ผู้ใช้สนุกกับการสร้างสรรค์วิดีโอด้วยตัวเอง
“Gen Z” ผู้บริโภคที่เติบโตพร้อมกับเทคโนโลยี ต้องการแสดงความเป็นตัวตน ชอบเสพคอนเทนต์ที่กระชับและรวดเร็ว
เทคโนโลยี “AI” ทำให้เรียนรู้พฤติกรรมใช้งานจริง และผู้ใช้สามารถ Customize วิดีโอได้
ใช้กลยุทธ์ Influencer ระดับ Macro Influencer บุคคลที่มีชื่อเสียง มียอดผู้ติดตามจำนวนมาก เพื่อครีเอทวิดีโอและขยายฐานผู้ใช้
พัฒนาสู่ “Marketing Platform” ด้วยฟีเจอร์และรูปแบบโฆษณาที่หลากหลาย เพื่อรองรับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม และมีฟีเจอร์ใหม่ด้านการขาย เช่น ให้แบรนด์ฝังลิงค์เว็บไซต์ปลายทางที่เชื่อมต่ไปยัง “Online Shopping” เพื่อยกระดับสู่ “Social Commerce”

กรณีศึกษา การทำการตลาดบน TikTok ของผลิตภัณฑ์ HiSmile
HiSmile Teeth-Whitening แบรนด์สินค้าที่ได้ผลลัพธ์จากแคมเปญ TikTok โดย Justin Gaggino ผู้บริหารแบรนด์ เผยถึงขั้นตอนและผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมผ่าน Business Insider ดังนี้
1. เคยจ้างซุปตาร์...แต่แพงมากกก
ในอดีตเคยจ้าง Influencer อย่าง Kim Kardashian West และ Conor McGregor โดยมีค่าตัวหลักล้านบาท แต่แบรนด์อยากที่จะลองกลยุทธ์ใหม่ ๆ ที่มีประสิทภาพในราคาที่ถูกกว่า จึงทดลองทำแคมเปญ 1 สัปดาห์ผ่าน TikTok
2. คัด Micro-influencer จำนวน 5 คน
HiSmile ว่าจ้างบริษัทเอเจนซี่ Micro-influencer สองราย ได้แก่ Hype House และ Sway LA ในการเสนอตัว TikTok Influencers จำนวน 4 คน บวกอีก 1 คนที่ไม่มีสังกัด แต่ทางแบรนด์รู้จักและสนใจเป็นการส่วนตัว เพื่อมาทำแคมเปญร่วมกัน
3. เลือกเพลงประจำแคมเปญพร้อมท่าเต้น
ได้คัดเลือกเพลงประจำแคมเปญ เพื่อให้ Micro-influencer ทั้ง 5 คนเต้นประกอบ โดยให้คาบอุปกรณ์ล้างฟันขาวของแบรนด์ พร้อมกับสวมเสื้อแขนยาวลายสกรีน ‘No sensitivity’ หรือ ‘ใช้แล้วสวยไม่เสียวฟัน’
4. ติดแฮชแทกท้าให้เต้นชิงของรางวัล
ให้ใส่ @hismile เพื่อลิงค์คนกลับมาที่หน้าโปรไฟล์ของแบรนด์ รวมไปถึงติดแฮชแท็ก #hismile เพื่อให้คนค้นหาและเชิญชวนมาทำ Challenge คลิปเต้นเพลงดังกล่าวเพื่อร่วมสนุกชิงรางวัลเสื้อแขนยาว ‘สวยไม่เสียวฟัน’
5. สร้าง Customer journey ส่งคนไปยังหน้าร้านออนไลน์
เมื่อมายังหน้าโปรไฟล์แบรนด์ จะมีลิงค์ไปยัง Instagram ซึ่งในหน้าอินสตาแกรมจะมีลิงค์ไปยังหน้าการสั่งซื้อสินค้า
ผลลัพธ์ที่ได้
เพียง 1 สัปดาห์ แคมเปญ HiSmile ก็กลายเป็นไวรัล และเข้าสู่ 29 ล้านวีดีโอวิว 2 ล้าน Likes 10,000 comments และมีผู้ติดตามแบรนด์บน TikTok สูงถึง 100,000 คน ประหยัดเงินค่าซื้อโฆษณา Facebook และค่าตัว Celebrity ที่มีราคาสูงกว่าได้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ แบรนด์ยังมีการซื้อโฆษณา TikTok ad ร่วมด้วย โดยสามารถติดตั้งปุ่ม Buy now ลงไปในโฆษณาโดยตรงเพื่อส่งคนไปยังหน้าซื้อสินค้าได้ทันที ซึ่งแบรนด์บอกว่า TikTok ad มีต้นทุนการส่งคนไปยังเว็บไซต์ต่ำกว่า Facebook ad สูงสุดถึง 4 เท่าตัว!
