top of page

Voice Search ใช้เสียงทำการตลาด

แต่ละวันมีผู้คนค้นหาข้อมูลบน Google เฉลี่ยวันละ 3,500 ล้านครั้ง โดย 1 ใน 3 ของการเสิร์ซใช้การค้นหาด้วยคำสั่งเสียง หรือ Voice Search เป็นหลัก ซึ่งการค้นหาด้วยเสียงมักจะใช้ Google Assistant Amazon Alexa และ Siri เป็นหลัก


คนหันมาใช้ Voice Search ค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ต้องพิมพ์ สามารถใช้เสียงได้เลยทันที โดยเฉพาะคนวัยมิลเลนเนียลจะชื่นชอบ Voice Search เป็นอย่างมาก เพราะคำสั่งเสียงที่ว่า สามารถสั่งเสียงผ่านแก็ดเจ็ตลำโพงอัจฉริยะ (Smart Speaker) เช่น Google Home, Amazon Echo และ Apple Homepod ที่สามารถตอบคำถามทุกอย่างที่ต้องการอยากรู้ สิ่งนี้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการเสิร์ชอย่างไร ? และนักการตลาดหรือแบรนด์ควรรับมืออย่างไร ?

วิธีการเสิร์ชที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบัน วิธีการค้นหาข้อมูลเริ่มเปลี่ยนไป จำนวนคนเสิร์ชผ่านคำสั่งเสียงมีมากขึ้นจนสามารถแซงการเสิร์ชผ่านการพิมพ์ตัวอักษร ด้านการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ การใช้เสียงจะทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์แบบ Hands-Free และ Eyes-Free อีกด้วย

4 ปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้มากขึ้น ในยุค “Voice Search”

1. ภาษาที่เป็นธรรมชาติ

เสียงเป็นสิ่งที่สามารถสื่อสารได้จากหลากหลายองค์ประกอบ เช่น อารมณ์ โทนเสียง หรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ นอกจากนี้ ในมุมการเสิร์ช การใช้คำสั่งเสียงรวดเร็ว สะดวก และแม่นยำกว่า แต่สิ่งที่เราต้องรู้คือ ผู้คนที่เสิร์ชโดยคำสั่งเสียงมักใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติมากกว่าภาษาแบบการพิมพ์


ดังนั้น คอนเทนต์ค้องใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและเป็นกลุ่มคำที่พวกเขาใช้ในการสั่งผ่านคำสั่งเสียง


2. คีย์เวิร์ด Long tail Keyword

สิ่งที่แบรนด์หรือนักการตลาดควรทำคือ เปลี่ยน Focus Keyword จากเดิมที่เป็นรูปแบบ Short-tail ให้เป็นรูปแบบ Long-tail เช่น ถ้าลูกค้ากำลังค้นหารองเท้าสำหรับการไปเดินป่าที่อาจจะต้องลุยน้ำด้วย จากเดิมที่ตั้ง Focus Keyword เป็นเพียงคำว่า “รองเท้าเดินป่า” เราควรเปลี่ยนเป็น “รองเท้าเดินป่า ผู้ชาย กันน้ำ”


เมื่อนักการตลาดหรือแบรนด์ใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long tail คีย์เวิร์ดเหล่านั้นจะมีโอกาสไปตรงกับคำที่ลูกค้าใช้ค้นหาด้วยคำสั่งเสียงมากขึ้น นอกจากนี้ หากสามารถวิเคราะห์รูปประโยคที่ใกล้เคียงกับที่ลูกค้าใช้ได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถนำคีย์เวิร์ดหรือคำเหล่านั้นไปใส่ในคอนเทนต์ส่วนสำคัญ เพื่อเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะเจอธุรกิจของเรา


3. Featured snippets

Featured Snippets คือ กล่องคำตอบที่อยู่หน้าแรก และอยู่ด้านบนสุดของผลลัพธ์ในหน้า SERPs (search engine result pages) หรืออยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่า Position 0 นั่นเอง โดยข้อความในกล่องคำตอบนั้น Google จะนำมาจากคอนเทนต์บางส่วนของเว็บไซต์นั่นเอง


ซึ่งคำตอบที่เป็น Featured Snippets ของแต่ละคีย์เวิร์ดจะลิงก์กับระบบ Voice Search ของ Assistants ต่าง ๆ โดยตรง แนวทางหลัก ๆ ในการทำให้คอนเทนต์ของเราไปอยู่บนกล่อง Featured Snippets คือ การทำให้คอนเทนต์ของเราสามารถตอบคำถามลูกค้าที่กำลังหาคำตอบให้ได้มากที่สุด รวมถึงการทำให้เว็บไซต์มี Ranking ที่ดีขึ้น


4. คอนเทนต์ที่ตรงกับ Micro Moment

คำนิยามที่ Google คิดค้นขึ้นมา ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่ผู้ใช้ค้นหาจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไป เช่น บางคนอาจจะต้องการข้อมูลทันทีเพื่อตัดสินใจซื้อ (want – to – buy moment) บางคนอาจจะต้องการเพียงหาข้อมูลเฉยๆ (want – to – know moment) บางคนอาจจะต้องการหาข้อมูลเพื่อไปที่ไหนสักที่ (want- to – go moment)โดยสามารถวิเคราะห์จุดประสงค์ของผู้ใช้กำลังค้นหาได้จริง ๆ


หลังจาก Google วิเคราะห์ตามหลักการนี้แล้ว ก็จะเลือกเว็บไซต์มาแสดงผลลัพธ์ให้ตรงความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด โดยแนวทางในการพัฒนาส่วนนี้คือการให้ข้อมูลที่เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอน (Stage) ของ Funnel นั่นเอง

Voice Search นั้นจะมีผลต่อการทำ SEO อย่างไร?

เมื่อ Voice Search มีแนวโน้มสูงขึ้น กระบวนการทำการตลาดเพื่อการค้นหา SEO จึงต้องตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้ค้นหาข้อมูลด้วย การทำ SEO จึงต้องเลือกใช้ Key word ที่ไปกันได้กับการค้นหาด้วยเสียง ซึ่ง SEO เดิม ๆ อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป


ถ้า content ที่คุณเขียนสามารถเข้าถึง long tail keywords ได้ดีมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นโอกาสทองของการตลาดของคุณอย่างแน่นอน เพราะการทำ content ที่ดีคือ ต้องถูกใจทั้งคนหาและเข้าใจกติกาของ Algorithm เพราะวันนี้ content ต้องทำให้ Search engine ชอบด้วยนั่นเองถึงจะปัง

โลกมีวิวัฒนาการมากขึ้นทุกที การตลาดยังคงมีแต่ต้องเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากันได้กับการเปลี่ยนแปลง


สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Content Marketing

ติดต่อสอบถามได้ที่ Core&Peak : AD & PR Agency

Tel. 02-439-4600




ดู 155 ครั้ง
bottom of page